วันอาทิตย์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2556

zxc

แต่จุดหลักสำคัญ มี 2 ประการคือ

1. ให้เกิดการน่าติดตาม
2.นำไปสู่จุดเหตุการณ์ของเรื่องที่เราต้องการ นั่นคือไคลแมกซ์

แต่ว่าไปแล้ว การเขียนเรื่องๆหนึ่ง ทำไมต้องนึกถึงจุดไคลแมกซ์ ทำไมต้องกำหนดจุดไคลแมกซ์ไว้ว่าจะให้อยู่บทไหน  พอพูดกันถึงตรงนี้ ก็ทำให้เกิดข้อคิดว่า.. เราแบ่งตอนในการเขียนนิยายอย่างไร

เท่าที่ดู.. จุดประสงค์หรือเหตุผลในการแบ่งตอนของเราเวลาเขียน มักมี  4 ลักษณะ

1. แบ่งตามความยาว.. คือพอเขียนไปสักช่วงหนึ่ง จนรู้สึกว่ามันเยอะ ก็หยุดเพื่อขึ้นตอนใหม่.. ลักษณะนี้ มักเป็นสำหรับคนที่เขียนเรื่องไปเรื่อย ไม่ได้กำหนดพล็อตกะเกณฑ์ไว้อย่างตายตัว แค่มีพล็อตลอยๆอยู่ในใจ

2. แบ่งตามจังหวะเหตุการณ์ของท้องเรื่อง ตั้งใจให้จบลงตรงจุดที่น่าสนใจ...  ลักษณะนี้ผู้เขียน มักมีพล็อตวางไว้ค่อนข้างชัดเจน.. บางคนก็วางกำหนดแต่ละบทไว้เลยว่าจะให้มีเหตุการณ์อะไรบ้าง.. การเขียนแบบนี้มักค่อนข้างกดดันคนเขียน เพราะต้องเขียนให้อยู่ในวงกำหนดที่ตนวางไว้ แต่มีข้อดีคือ.. แต่ละบทแต่ละตอน จะมีความน่าสนใจ

3. ใช้ทั้ง ข้อ 1 + 2 ผสมกัน คือวางพล็อตไว้แบบคร่าวๆ แล้วพอเขียนไปสักช่วง รู้สึกว่ามันเนื้อเรื่องมันยาวแล้ว  จึงตัดบททิ้งท้ายโดยเลือกไว้สักจุดที่น่าสนใจ เพื่อกระตุ้นให้เกิดความน่าติดตามตอนต่อไป .. ( วิธีนี้พี่จะใช้บ่อย.. เพราะว่ามันลดความกดดันกว่าวิธีที่ 2 )

4. ไม่มีกำหนดกฏเกณฑ์..  ซึ่งก็มีหลายคนที่ใช้ในบอร์ดนิยายของเรา  โดยเฉพาะนิยายแบบตอนสั้นๆ แค่ 1-2 ฉาก หรือ สิบกว่าบรรทัดก็จบบทแล้ว ( วิธีนี้ขออนุญาตให้ใช้ได้แค่การเขียนเรื่องแรกๆ ที่ทดลองเขียนนะคะ  แต่อย่าใช้ต่อไปเรื่อยๆ ไม่งั้นมันจะไม่เกิดการพัฒนาในการเขียน)

 


ในการเขียนนิยาย ในส่วนของการเดินเรื่องนั้น ว่าไปแล้วก็อาจแบ่งออกได้ตามจุดประสงค์หลัก 3  ชนิด (พี่แบ่งเองนะ..บทความนี้เขียนจากประสบการณ์  ไร้ทฤษฏีค่ะ)

1. การเปิด...  ได้แก่ การเปิดเรื่อง การเปิดเหตุการณ์  เปิดปม.. การเปิดตัวละคร...  หัวใจหลักสำคัญในการเปิดก็อยู่ที่จุดประสงค์ของคนเขียนต่อตัวละคร หรือปมนั้นๆของเรื่อง นั่นคือ...

               - เปิดให้น่าสนใจ.. คนอ่านพออ่านปั๊บก็บอกกับตนเอง.. ตัวละครตัวนี้คงสำคัญแน่ๆ.. ตรงนี้ต้องเป็นปมอะไรสักอย่างของเรื่องเป็นต้น
               - เปิดให้ประทับใจ.. คือคนอ่านแล้วพอเจอตัวละครตัวนี้ ก็ปิ๊งขึ้นมา หรือสะดุดใจกับปมที่เราเปิดขึ้น
               - เปิดให้ชวนติดตาม.. เมื่อเกิดความสนใจ คนอ่านก็จะคอยติดตาม ว่าตัวละครตัวนี้เป็นอย่างไร เหตุการณ์ตรงนี้จะดำเนินอย่างไร
                - เปิดเพื่อเสริม.. คือ เปิดเพื่อให้เข้ามาเสริมคำอธิบาย หรือความเป็นเหตุเป็นผลของเนื้อเรื่อง

2. การปู... ได้แก่  ปูความเป็นมาของตัวละคร  การขยายความถึงปมที่เราเปิดไว้  เช่น.. ตัวละครตัวหนึ่งโกรธแค้นตัวละครอีกตัว   ตรงนี้จะเป็นการอธิบายเหตุผล  สร้างฐานของเหตุการณ์ให้มันแน่นขึ้น ว่าทำไมถึงจึงเกิดปมนั้นขึ้นมาได้...

ในการปู... เราอาจจะมีการเปิดเหตุการณ์รอง  หรือเปิดตัวละครที่อื่นเข้ามา เพื่อทำให้สิ่งที่เรานำเสนอ มันอ่านแล้วสมจริงสมจัง  หนักแน่น..น่าเชื่อถือ   ในนิยายแต่ละเรื่อง..มักมีเหตุการณ์การหลายเหตุการณ์ มีปมหลายปม  ที่มาเกี่ยวพันกันเหมือนลูกโซ่ที่คล้องกัน ไปโยงไปสู่อีกจุดของเหตุการณ์ที่เป็นจุดหลักของเรื่อง

3.  การปิด...  เมื่อเราเปิดเราก็ต้องมีการปิด.. นั่นคือการสรุปของปม ของเหตุการณ์ หรือของตัวละครนั้นๆ  การปิดในบางครั้ง ก็อาจเป็นการเปิดไปสู่อีกเรื่องราว อีกปม อีกเหตุการณ์ของในเรื่องนั้นๆก็ได้

สำหรับการปิด.. เราไม่จำเป็นต้องนำทุกอย่างไปปิดในตอนท้ายของเรื่อง  แต่เราอาจจะทะยอยปิดเป็นช่วงๆ โดยใช้เทคนิค  ปิดเหตุการณ์หนึ่ง เพื่อนำไปสู่การเปิดของอีกอย่าง.. การทำแบบนี้จะทำให้เรื่องดำเนินไปชวนน่าติดตาม  กระตุ้นความสนใจของคนอ่านในแต่ละฉากแต่ละตอนที่เราเขียนขึ้น


ดังนั้นพี่จึงอยากแนะนำ.. ให้เรานำเทคนิคการดำเนินเรื่อง โดยการใช้การ เปิด ปู และปิด..  ไปทุกบทที่เราเขียนขึ้น กล่าวคือ ให้เราวางพล็อตกว้างๆของเรื่องเอาไว้  จากนั้น ก็กำหนดพล็อตคร่าวๆของแต่ละบทเอาไว้เลย ว่าเราจะจบบทนั้นอย่างไร  (โดยอาจไม่ต้อง กำหนดไว้ล่วงหน้าทุกบทก่อน แต่ปล่อยให้เป็นไปตามเหตุการณ์ เพื่อที่จะไม่กดดันเวลาเราเขียน  และทำให้คนเขียนรู้สึกตื่นเต้น และสนุกไปกับการเขียน เพราะว่าคนเขียนเอง บางครั้งก็ไม่รู้ว่าตอนจบของเรื่องจะเป็นอย่างไร เพียงแต่เราวางไว้คร่าวๆ แล้วเป็นคนถือหางเสือของเรือ เพื่อให้มันทรงตัวลอยไม่ล่ม เพียงแต่การพายเรือ.. มันก็ขึ้นอยู่กับกระแสน้ำ  ให้เรารู้แค่ว่า เราจะพาเรือไปจอดเทียบที่ท่าไหน ก็พอแล้ว )

 

ยกตัวอย่างการเขียนสักเรื่อง ( ออกตัวว่ามันไม่ใช่เรื่องมาตรฐานหรอกนะคะ เพียงแต่เอามายกตัวอย่างเพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้นเท่านั้น)  พี่ขอยกเรื่อง "สัญญารัก"  ก็แล้วกัน

ตัวละครหลักของเรื่องคือ  ดรัณภพ  มรรษมน และ  รินรดา

พล็อตหลักของเรื่องก็คือ  การรอคอยของชายหนุ่มต่อหญิงสาวที่ไม่มีวันหวนคืนกลับ

แรงบันดาลใจมาจากเรื่อง มังกรหยกภาค 2  ที่เอี้ยก้วยเฝ้ารอคอยการกลับมาของเซียวเหล่งนึ่ง โดยเซียวเล่งนึ่งรู้ตัวเองว่าต้องตาย จึงสร้าง "สัญญา" ให้เขารอนาง 16 ปีค่อยมาพบกันอีกครั้ง  เพื่อใช้เวลายืดชีวิตของเขาออกไป ให้เขาเกิดความฮึดสู้ที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป

จากเรื่องมังกรหยกภาค 2 จึงเกิดความคิดว่า ถ้าหากเซียวเหล่งนึ่งตายจริงๆล่ะ เอี้ยก้วยจะเป็นอย่างไร  ดังนั้นจึงเขียนเป็นเรื่อง 'สัญญารัก'  โดยใช้หัวใจของเรื่อง คือ "คำสัญญา"  ที่มรรษมนมีกับดรัณภพ  เพื่อให้เขาฮึดสู้ ที่จะมีชีวิตต่อไป และสร้างชีวิตของเขาไปสู่จุดความสำเร็จ ให้ได้ แม้ว่าจะไม่มีเธอ

จึงสร้างโครงเรื่องคร่าวๆ ว่า  มรรษมนรู้ตัวเองว่าต้องตายด้วยโรคร้าย จึงจึงขอให้คุณหญิงย่าช่วยแสดงละครฉากหนึ่ง ก่อนที่เธอจะเดินทางไปรักษาตัวที่ต่างประเทศ ต่อดรัณภพเด็กหนุ่มที่เพิ่งสูญเสียพ่อไป และทั้งชีวิตมีเพียงมรรษมนที่เป็นหลักยึดเหนี่ยวในจิตใจ  โดยคุณหญิงย่าจะทำเป็นขัดขวางสองหนุ่มสาว และใช้คำพูดดูถูกให้ดรัณภพพิสูจน์ตัวเอง ว่าคู่ควรกับหลานสาวของท่านหรือไม่  จากนั้นให้เวลาดรัณภพ 10 ปี เพื่อสร้างตัวเองไปสู่ความสำเร็จในชีวิต นั่นคือเรียนให้จบสร้างหลักฐานตนเองให้ได้ ก่อนที่จะมาคบกับหลานของท่าน

มรรษมนเสียชีวิตลงหลังจาก รักษาตัวต่อไปได้ปีกว่าๆ แต่เธอก่อนตายเธอเขียนโปสการ์ดขึ้น 10 ใบ ให้ป้าจิตรซึ่งเป็นคนดูแลเธอช่วยส่งให้ดรัณภพทุกปี เพื่อเป็นสิ่งกระตุ้นเตือนคำสัญญา  ด้วยเธอหวังว่า เวลา 10 ปีที่ผ่านไป เมื่อเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้น เขาคงมองโลกได้กว้าง และอาจจะเจอใครสักคนในหัวใจ มาทดแทนเธอและลืมเธอไปได้

เมื่อกำหนดโครงไว้แบบนี้ ก็เกิดความคิดว่า.. ดรัณภพโดดเดี่ยวเกินไป ที่จะรับสภาพที่จะต้องเจอได้ ดังนั้นจึงสร้างตัวละครขึ้นอีกตัว คือ รินรดา เพื่อนหญิงของเขา ซึ่งรินรดา จะแอบรักดรัณภพ แต่ก็คอยให้กำลังใจเขาเพื่อให้ได้พบกับมรรษมนที่เขารอคอย  หากแต่ต่อมา เมื่อรินรดารู้ความจริงว่ามรรษมนตายไปแล้ว เธอจึงต้องหาทางอย่างสุดความสามารถที่จะช่วยดรัณภพ ดังนั้นจึงใช้วิธีการเลียนแบบ ก้วยเซียงในเรื่องมังกรหยก คือทำให้เขาติดคำสัญากับเธอข้อหนึ่ง เพื่อที่เธอจะได้นำสัญญาข้อนี้ มาประคับประคองดรัณภพ ให้เขามีกำลังใจที่จะมีชีวิตต่อไปอีกครั้ง


ปม หรือ ปัญหาที่สร้างให้คนอ่านติดตามคือ

      1. ดรัณภพจะทำอย่างไร หากรู้ว่ามรรษมนที่เขาเฝ้ารอคอยมาถึง 10 ปีได้ตายจากไปนานแล้ว
      2. รินรดาจะทำอย่างไร เพื่อช่วยให้ดรัณภพซึ่งเป็นชายหนุ่มที่เธอแอบรัก ข้ามพ้นจุดวิกฤติของเขาในข้อ 1 ได้

 

เมื่อได้พล็อต ได้โครง ได้ ปมของเรื่องแล้ว ต่อไปเราต้องหาเหตุผลที่จะมาสร้างฐานของเรื่องให้แน่นขึ้น โดยต้องสร้างปมย่อย ตัวละครรองนั่นคือ

          1. ให้ดรัณภพ กับ รินรดามีอาชีพเป็นหมอ เพื่อที่ทั้งสองจะได้เข้าใจถึงชีวิตได้ง่ายขึ้น  และเนื่องจาก ดรัณภพรู้ว่ามรรษมนสุขภาพไม่ค่อยดี จึงตั้งความฝันอยากเป็นหมอ เพื่อที่จะได้ดูแลรักษามรรษมนได้ (ความคิดของเด็กหนุ่มในเวลานั้น) 

          2. ให้ดรัณภพชอบอ่านนิยายกำลังภายใน และให้เขาประทับใจในความรักที่เอี้ยก้วยมีต่อเซี่ยวเหล่งนึ่ง และมรรษมนจึงใช้คำสัญญาที่เซียวเหล่งนึ่งให้ไว้กับเอี้ยก้วย มาเลียนใช้กับเขา จึงทำให้ดรัณภพยอมรับตรงนี้ได้ง่าย และมุ่งมั่นที่จะทำตามคำสัญญา เพื่อที่จะให้เจอกับเธออีกครั้ง

           3. ให้ดรัณภพเป็นคนที่เปลือกนอกสุขุม มั่นคง แต่ข้างในจิตใจดื้อรั้น และอ่อนไหว  เป็นคนที่โหยหาความรักและความอ่อนโยน เขาจึงยึดติดกับมรรษมน แต่ขณะเดียวกัน ในสายตาของรินรดา ที่เป็นผู้หญิงที่เปลือกนอกอ่อนโยน น่ารักและดูบอบบาง หากข้างในจิตใจเข้มแข็งและมุ่งมั่น มองโลกในแง่ดีและไร้เดียงสา  เธอจึงมองดรัณภพอย่างวีรบุรุษและเลื่อมใสในความรักที่เขามีต่อมรรษมน และให้ดรัณภพคอยปกป้องช่วยเหลือ ให้คำแนะนำเธอในเรื่องต่างๆ ราวจอมยุทธที่คอยปกป้องหญิงสาวผู้บอบบาง .. และจุดตรงนี้คือเหตุผลหนึ่งที่ดึงมาใช้ในเรื่อง นั่นคือ ให้รินรดาพยายามดึงเอาความเข้มแข็งของดรัณภพออกมา ให้เขาสามารถลุกขึ้นยืนหยัดได้อีกครั้ง..หลังการล่มสลายของจิตใจ

         4. แต่พอเขียนไป เหตุผลในข้อ 3 มันยังไม่พอ ที่จะทำให้คนๆหนึ่งฮึดสู้ขึ้นอีกครั้ง ด้วยแรงกระตุ้นจากภายนอก เพราะคนเรา พึงมีกำลังใจในชีวิต ด้วยความคิดและแรงจากภายในตัวเราเองด้วย ดังนั้นจึงเพิ่มเหตุการณ์อื่นขึ้นมา เพื่อให้ดรัณภพ เกิดสำนึกได้และตระหนัก ถึงคุณค่าแห่งชีวิต นั่นคือ การได้ช่วยเหลือหญิงท้องแก่คนหนึ่งคลอดลูกที่บ้าน ท่ามกลางแรงลุ้นและกำลังใจของสามีและลูกๆน้อยๆของเธอเพื่อบุคคลที่พวกตนรัก  ให้ดรัณภพได้สัมผัสถึง ความเจ็บปวดของคนเป็นแม่ที่ให้กำเนิดชีวิตลูกขึ้นมา กระตุ้นให้เขาได้คิดเองว่า.. เขาควรที่จะเห็นคุณค่าของมีชีวิตแค่ไหน  ให้เขาได้คิดว่าวิชาชีพของเขาสามารถอยู่ช่วยชีวิตคนมากมายแค่ไหน..เพื่อให้ เขาได้ตระหนักว่า.. ชีวิตของเขายังมีความสำคัญต่อโลกใบนี้

..............ฯลฯ............


ทั้งหมดมันมีเยอะ  เวลาเราเขียนบางทีพล็อตย่อยต่างๆ เราต้องสร้างขึ้นมาใหม่ เพื่อมาเสริมการเหตุการณ์ที่เรากำลังเขียน.. ด้วยเหตุนี้พี่ถึงบอกว่า ให้เขียนไปตามสถานการณ์ของเรื่อง.. บางครั้งก็อย่างกำหนดทุกอย่างให้มันชัดๆเกินไป ไม่งั้นจะเขียนลำบาก   จากนั้นก็จะมาใช้เทคนิคในกาารเขียน แบบ เปิด..ปู..ปิด..ดังนี้คือ (ขอยกแค่ตัวอย่างนิดหน่อยนะ ไม่งั้นคงพูดกันยาวไม่จบแน่)

บทแรก... เปิดตัวละคร...   เปิดเรื่องที่รินรดา และ ดรัณภพ เพื่อให้ผู้อ่านได้รู้ว่าทั้งสองเป็นใคร และมีความสัมพันธ์กันอย่างไร  เมื่อเปิดแล้วก็ต้องปู นั่นคือปูนิสัยใจคอของตัวละคร ความสัมพันธ์ของตัวละคร โดยทำการเปิดเหตุการณ์ที่กำลังช่วยชีวิตคนไข้บนวอร์ด ปูเหตุการณ์นั้นโดยเขียนบรรยายขั้นตอนการช่วยเหลือ โดยให้รินรดาใส่ tube ช่วยหายใจคนไข้ไม่ได้ แล้วดรัณภพก็เข้ามาพอดี จึงช่วยไว้ได้สำเร็จ  จึงปิดเหตุการณ์ ซึ่งตรงนี้ ก็จะทำให้คนอ่านได้รับรู้คร่าวๆ ถึงอาชีพของตัวละครทั้งสอง ความสามารถ ความคิดที่รินรดามีต่อดรัณภพ  ความเก่งและนิสัยใจคอของดรัณภพ

เมื่อปิดเหตุการณ์ที่บน วอร์ด..ก็จะเปิดไปสู่อีกเหตุการณ์คือ รินรดาชวนดรัณภพไปกินข้าวที่บ้าน ตรงนี้ก็จะเปิดความคิดของดรัณภพถึงเรื่องราวในอดีต พร้อมกับเป็นการปูความเป็นมาของตัวละครอีกหลายตัว และเปิดตัวละครสำคัญ คือ มรรษมนขึ้นในความคิดที่หลั่งไหลอยู่ในสมองของดรัณภพ

ทุกเหตุการณ์ ทุกเรื่องราว จะเชื่อมต่อเกี่ยวพันกันไป .. การเปิดตัวละครสำคัญ 2 ตัว และเปิดเหตุการณ์ เมื่อต้องปูเหตุการณ์และเปิดปม ก็จะเปิดตัวละคร และเหตุการณ์ อื่นขึ้นมาเสริมเพื่อให้มันเป็นเหตุเป็นผลที่หนักแน่น น่าเชื่อถือ...

ดังนั้นต้องจำจดไว้ว่า.. เมื่อเราปูเรื่อง.. เราต้องคำนึงถึงเหตุผลและความน่าเชื่อถือ  ถ้าตรงไหนยังบกพร่อง ก็ต้องหาคำอธิบายมารองรับ  หากจำเป็นต้องเปิดตัวละครหรือเหตุการณ์ขึ้นมา ก็ควรจะคิดแล้วว่ามีความสำคัญในการเดินเรื่อง  อย่าเอามาแค่ประดับเรื่อง เพื่อจุดประสงค์แค่ให้เกิดความครึกครื้น แล้วกลายเป็นตัวละครที่รก  ทำให้เราหาที่วางและที่เก็บตัวละครตัวนี้ภายหลังไม่เจอ เป็นภาระคนเขียนเปล่าๆ

ถ้าหากเรายึดหลัก การเขียนดำเนินเรื่อง โดยการ เปิด ปู และปิด  โดยให้มีการดำเนินไปอย่างสอดคล้องสัมพันธ์ไม่ขาดตอน และเป็นเหตุเป็นผล  เรื่องมันจะเดินไปสู่จุดที่เราต้องการอย่างน่าสนใจ  และสุดท้าย... ทุกสิ่งที่เราเปิดและปูมา..เราไม่จำเป็นต้องปิดทุกอย่างก็ได้.. บางอย่างหากมันไม่ค้างคาใจคนอ่าน หรือมีผลของปมหลักของเรื่องจนเกินไป..ก็ให้เปิดไว้อยู่อย่างนั้น ไม่ต้องปิดมันก็ได้.. เพราะว่า..มันจะถูกปิดไปโดยตัวของมันเอง และโดยจินตนาการของคนอ่านอยู่แล้ว

และขออสรุปอีกนิดสุดท้ายนะคะว่า

การเปิดทุกอย่าง.. (ตัวละคร- ปม -เหตุการณ์ ฯลฯ)  เราต้องเปิดอย่างมีจุดประสงค์ และตอบคำถามตัวเองได้ว่าเปิดทำไม  ก่อนจะเปิดเราต้องคิดก่อนว่า จะเปิดตรงไหน เมื่อไหร่ อย่างไรด้วย  ขณะเดียวกับก็ต้องเตรียมคิดไว้เสมอว่าา ..เราจะปิดอย่างไร กับสิ่งที่เราเปิดออกมาตรงนี้

ในการปู.. เราต้องปูอย่างมีเหตุผล แม้จะเป็นเรื่องแฟนตาซี ในความไม่จริง..ก็ต้องมีความจริงจัง..เพื่อให้คนอ่านเชื่อ..  และระหว่างที่ปูเหตุการณ์ เพื่อความมีเหตุผลและสมจริง  หากยังไม่เพียงพอ ก็อาจจะต้องเปิดอย่างอื่นมารองรับ (และหาทางที่จะปิดเตรียมไว้ด้วย)

ในการปิด.. ต้องปิดอย่างมีคุณค่าและให้ประทับใจ.. และควรปิดแบบห่วงที่คล้องกันเป็นโซ่ นั่นคือ ปิดเรื่องหนึ่ง เพื่อเชื่อไปเปิดอีกเรื่องหนึ่ง.. หรือปิดเพื่อยุติตรงนั้นอย่างสิ้นเชิง.. เนื่องเพราะไม่อยากจะเอ่ยถึงต่ออีกแล้ว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น