วันจันทร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

อำนาจหน้าที่ของผู้กำกับดูแลในการสอบสวนวินิจฉัย หรือมีคำสั่งให้ผู้บริหารท้องถิ่นพ้นจากตำแหน่ง

อำนาจหน้าที่ของผู้กำกับดูแลในการสอบสวนวินิจฉัย หรือมีคำสั่งให้ผู้บริหารท้องถิ่นพ้นจากตำแหน่ง กฎหมายจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้บัญญัติให้อำนาจแก่นายอำเภอและผู้ว่าราชการจังหวัดในการกำกับดูแลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ปฏิบัติการตามอำนาจหน้าที่โดยถูกต้องตามกฎหมาย อีกทั้งยังได้บัญญัติให้อำนาจแก่นายอำเภอและผู้ว่าราชการจังหวัดในการสอบสวนและวินิจฉัยหรือมีคำสั่งให้ผู้บริหารท้องถิ่นพ้นจากตำแหน่ง หากปรากฏว่าผู้บริหารท้องถิ่นผู้นั้นปฏิบัติการไม่ชอบด้วยอำนาจหน้าที่หรือในกรณีอื่นๆ ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ เช่น มีพฤติกรรมในทางทุจริตหรือกระทำการฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อยหรือสวัสดิภาพของประชาชน เป็นต้น จากบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าวได้มีผู้สงสัยเกี่ยวกับการใช้อำนาจของนายอำเภอและผู้ว่าราชการจังหวัด ในการสอบสวนและวินิจฉัยหรือมีคำสั่งให้ผู้บริหารท้องถิ่นพ้นจากตำแหน่ง ในกรณีที่ผู้บริหารท้องถิ่นถูกร้องเรียนกล่าวหาว่าเป็นผู้มีพฤติกรรมในทางทุจริต ว่า จะเป็นอำนาจหน้าที่ของผู้ใดในการพิจารณาดำเนินการตามกฎหมาย เพราะกรณีนี้มีข้อสงสัยอยู่ว่า คำว่า “พฤติกรรมในทางทุจริต” นั้น จะถือเป็น “การกระทำการฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อยหรือสวัสดิภาพของประชาชนด้วย” หรือไม่ และทั้งสองกรณีดังกล่าวจะมีความแตกต่างกันอย่างไร จะมีเส้นแบ่งแยกในการใช้อำนาจในกรณีนี้หรือไม่ ซึ่งในทางปฏิบัติยังคงมีข้อถกเถียงในปัญหานี้กันอยู่ ดังนั้น ในที่นี้จึงจำต้องพิเคราะห์ถึงลักษณะของการใช้อำนาจของนายอำเภอและผู้ว่าราชการจังหวัดต่อกรณีดังกล่าว โดยจะขอยกตัวอย่างบทบัญญัติกฎหมายจัดตั้งองค์การบริหารส่วนตำบลขึ้นมาประกอบการพิจารณา ดังต่อไปนี้ พระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. ๒๕๓๗ แก้ไขเพิ่มเติมถึง (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๔๖ มาตรา ๕๘/๑ บุคคลผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นนายกองค์การบริหารส่วนตำบลต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามตามกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นและต้องมีคุณสมบัติและไม่มีลักษณะต้องห้ามดังต่อไปนี้ด้วย (๑) มีอายุไม่ต่ำกว่าสามสิบปีบริบูรณ์ในวันเลือกตั้ง (๒) สำเร็จการศึกษาไม่ต่ำกว่ามัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่า หรือเคยเป็นสมาชิกสภาตำบล สมาชิกสภาท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่น หรือสมาชิกรัฐสภา (๓) ไม่เป็นผู้มีพฤติกรรมในทางทุจริตหรือพ้นจากตำแหน่งสมาชิกสภาตำบล สมาชิกสภาท้องถิ่น คณะผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น รองผู้บริหารท้องถิ่นหรือเลขานุการผู้บริหารท้องถิ่น หรือที่ปรึกษาของผู้บริหารท้องถิ่นเพราะเหตุที่มีส่วนได้เสียไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในสัญญาหรือกิจการที่กระทำกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นยังไม่ถึงห้าปีนับถึงวันรับสมัครเลือกตั้ง มาตรา ๖๔ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลพ้นจากตำแหน่งเมื่อ (๑) ถึงคราวออกตามวาระ (๒) ตาย (๓) ลาออก โดยยื่นหนังสือลาออกต่อนายอำเภอ (๔) ขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา ๕๘/๑ (๕) กระทำการฝ่าฝืนมาตรา ๖๔/๒ (๖) ผู้ว่าราชการจังหวัดสั่งให้พ้นจากตำแหน่งตามมาตรา ๘๗/๑ วรรคห้า หรือมาตรา ๙๒ (๗) ถูกจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก (๘) ราษฎรผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลมีจำนวนไม่น้อยกว่าสามในสี่ของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มาลงคะแนนเสียงเห็นว่านายกองค์การบริหารส่วนตำบลไม่สมควรดำรงตำแหน่งต่อไปตามกฎหมายว่าด้วยการลงคะแนนเสียงเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น เมื่อมีข้อสงสัยเกี่ยวกับความเป็นนายกองค์การบริหารส่วนตำบลสิ้นสุดลงตาม (๔) หรือ (๕) ให้นายอำเภอสอบสวนและวินิจฉัยโดยเร็ว คำวินิจฉัยของนายอำเภอให้เป็นที่สุด ในระหว่างที่ไม่มีนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ให้ปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลปฏิบัติหน้าที่ของนายกองค์การบริหารส่วนตำบลเท่าที่จำเป็นได้เป็นการชั่วคราวจนถึงวันประกาศผลการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนตำบล มาตรา ๙๒ หากปรากฏว่านายกองค์การบริหารส่วนตำบล รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ประธานสภาองค์การบริหารส่วนตำบล หรือรองประธานสภาองค์การบริหารส่วนตำบล กระทำการฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อยหรือสวัสดิภาพของประชาชน หรือละเลยไม่ปฏิบัติตามหรือปฏิบัติการไม่ชอบด้วยอำนาจหน้าที่ ให้นายอำเภอดำเนินการสอบสวนโดยเร็ว ในกรณีที่ผลการสอบสวนปรากฏว่านายกองค์การบริหารส่วนตำบล รองนายกองค์การบริหารส่วนตำบล ประธานสภาองค์การบริหารส่วนตำบล หรือรองประธานสภาองค์การบริหารส่วนตำบลมีพฤติการณ์ตามวรรคหนึ่ง ให้นายอำเภอเสนอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสั่งให้บุคคลดังกล่าวพ้นจากตำแหน่งทั้งนี้ผู้ว่าราชการจังหวัดอาจดำเนินการสอบสวนเพิ่มเติมด้วยก็ได้ คำสั่งของผู้ว่าราชการจังหวัดให้เป็นที่สุด จากบทบัญญัติกฎหมายดังกล่าวข้างต้นจะเห็นได้ว่า ในเรื่อง “พฤติกรรมในทางทุจริต” และเรื่องการกระทำการฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อยหรือสวัสดิภาพของประชาชนของผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบลนั้น กฎหมายได้บัญญัติไว้ในมาตราที่แตกต่างกัน กล่าวคือ ในเรื่อง “พฤติกรรมในทางทุจริตนั้นได้บัญญัติไว้ในมาตรา ๕๘/๑ ประกอบมาตรา ๖๔ แห่งพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. ๒๕๓๗ แก้ไขเพิ่มเติมถึง (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๔๖ ซึ่งหากกรณีมีข้อสงสัยว่าผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบลผู้ใดมีพฤติกรรมในทางทุจริตหรือไม่นั้น กฎหมายได้บัญญัติให้เป็นอำนาจหน้าที่ของนายอำเภอที่จะต้องพิจารณาดำเนินการสอบสวนและวินิจฉัยว่ามีมูลตามข้อร้องเรียนกล่าวหาหรือไม่ และหากผลการวินิจฉัยปรากฏว่าผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบลผู้นั้นเป็นผู้มีพฤติกรรมในทางทุจริตจริงตามข้อร้องเรียนกล่าวหาก็จะมีผลทำให้ผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบลผู้นั้นต้องพ้นจากตำแหน่งโดยผลของกฎหมายนับตั้งแต่วันที่มีพฤติกรรมดังกล่าวเป็นต้นไป ซึ่งหากพฤติกรรมได้เกิดขึ้นก่อนวันเลือกตั้งก็จะมีผลให้ต้องพ้นจากตำแหน่งตั้งแต่วันเลือกตั้งเป็นต้นไป หากพฤติกรรมได้เกิดขึ้นภายหลังจากวันเลือกตั้งก็จะมีผลให้ต้องพ้นจากตำแหน่งตั้งแต่วันมีพฤติกรรมตามความเป็นจริงเป็นต้นไป สำหรับเรื่อง “การกระทำการฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อยหรือสวัสดิภาพของประชาชน” นั้นได้บัญญัติไว้ในมาตรา ๙๒ แห่งพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. ๒๕๓๗ แก้ไขเพิ่มเติมถึง (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๔๖ ซึ่งหากกรณีมีข้อร้องเรียนกล่าวหาว่าผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบลผู้ใดกระทำการฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อยหรือสวัสดิภาพของประชาชนหรือไม่ นั้น กฎหมายได้บัญญัติให้เป็นอำนาจหน้าที่ของนายอำเภอที่จะต้องดำเนินการสอบสวนโดยเร็ว และหากผลการสอบสวนปรากฏว่าผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบลผู้นั้นเป็นผู้กระทำการฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อยหรือสวัสดิภาพของประชาชนตามข้อร้องเรียนกล่าวหาจริง นายอำเภอก็จะต้องเสนอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดสั่งให้ผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบลผู้นั้นพ้นจากตำแหน่ง ซึ่งการพ้นจากตำแหน่งในกรณีเช่นนี้เป็นการพ้นจากตำแหน่งโดยผลของคำสั่งผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งจะมีผลนับตั้งแต่วันที่ผู้ว่าราชการจังหวัดได้กำหนดไว้ในคำสั่งเป็นต้นไป ดังนั้น เมื่อพิจารณาบทบัญญัติกฎหมายทั้งสองเรื่องดังกล่าวแล้วก็จะเห็นได้ว่ามีความแตกต่างกัน กล่าวคือ บทบัญญัติในเรื่องพฤติกรรมในทางทุจริต นั้น กฎหมายได้มีเจตนารมณ์กำหนดให้เป็นลักษณะต้องห้ามของผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งให้เป็นผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบลและอีกประการหนึ่งก็กำหนดให้เป็นลักษณะต้องห้ามของผู้ที่ได้รับเลือกตั้งให้เป็นผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบลแล้วด้วย ฉะนั้น ไม่ว่าผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบลจะมีพฤติกรรมในทางทุจริตก่อนหรือหลังวันเลือกตั้งก็ตามก็จะต้องเป็นอำนาจหน้าที่ของนายอำเภอที่จะต้องดำเนินการสอบสวนและวินิจฉัยโดยเร็วตามความในมาตรา ๕๘/๑ ประกอบ มาตรา ๖๔ แห่งพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. ๒๕๓๗ แก้ไขเพิ่มเติมถึง (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๔๖ ในส่วนของบทบัญญัติในเรื่องกระทำการฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อยหรือสวัสดิภาพของประชาชน นั้น กฎหมายได้มีเจตนารมณ์กำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของนายอำเภอและผู้ว่าราชการจังหวัดในการกำกับดูแลพฤติกรรมของผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบลภายหลังจากที่ได้รับการเลือกตั้งเป็นผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบลแล้ว เพื่อให้การบริหารกิจการขององค์การบริหารส่วนตำบลเป็นไปด้วยความเรียบร้อยและถูกต้องตามกฎหมาย ฉะนั้น การกระทำของผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบลที่เป็นการฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อยหรือสวัสดิภาพของประชาชน จึงต้องเป็นเรื่องที่ได้เกิดขึ้นภายหลังจากวันเลือกตั้งแล้วเท่านั้น นายอำเภอจึงจะมีอำนาจในการสอบสวนและเสนอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดมีคำสั่งให้พ้นจากตำแหน่ง ตามความในมาตรา ๙๒ แห่ง ระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. ๒๕๓๗ แก้ไขเพิ่มเติมถึง (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๔๖ ได้ จากข้อแตกต่างของบทบัญญัติทั้งสองเรื่องดังกล่าวข้างต้น จึงพิจารณาได้ว่ากฎหมายมีเจตนารมณ์ที่จะแยกอำนาจหน้าที่ในการดำเนินการเกี่ยวกับทั้งสองเรื่องไว้ต่างหากจากกันอยู่แล้ว ดังนั้น ในประเด็นปัญหาที่ว่าพฤติกรรมในทางทุจริตจะถือเป็นการกระทำการฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อยหรือสวัสดิภาพของประชาชนด้วยหรือไม่ นั้น จึงมีความชัดเจนอยู่ในตัวแล้วว่าไม่ใช่เป็นเรื่องเดียวกัน เพราะกฎหมายได้บัญญัติแยกกันไว้อย่างชัดเจนแล้ว ดังนั้น เมื่อมีข้อเท็จจริงเกิดขึ้นจึงต้องปรับให้เข้ากับบทบัญญัติกฎหมายที่ถูกต้องด้วย หากเป็นเรื่องของการมีพฤติกรรมในทางทุจริตก็จะต้องปรับเข้ากับบทบัญญัติมาตรา ๕๘/๑ ประกอบมาตรา ๖๔ แห่งพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. ๒๕๓๗ แก้ไขเพิ่มเติมถึง (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๔๖ ซึ่งเป็นบทกฎหมายเฉพาะ ไม่อาจปรับเข้ากับบทบัญญัติมาตรา ๙๒ แห่งพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. ๒๕๓๗ แก้ไขเพิ่มเติมถึง (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๔๖ ได้ ทั้งนี้ เกี่ยวกับเรื่องการใช้อำนาจในการสอบสวนและวินิจฉัยของนายอำเภอในกรณีเกี่ยวกับการมีพฤติกรรมในทางทุจริต นั้น ได้มีแนวคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดกรณีของสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลที่พอจะนำมาใช้เทียบเคียงได้กับการมีพฤติกรรมในทางทุจริตของผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบลได้ก็คือ คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขแดงที่ อ. ๓๙๘/๒๕๕๐ และคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุด คดีหมายเลขแดงที่ อ. ๖๗/๒๕๔๗ ซึ่งสรุปได้ว่า การที่นายอำเภอได้ใช้อำนาจสอบสวนและวินิจฉัยให้สมาชิกภาพของสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลสิ้นสุดลง นั้น ถือเป็นการใช้อำนาจของนายอำเภอที่เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว ซึ่งบทบัญญัติเกี่ยวกับการพ้นจากตำแหน่งของผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบลกับการพ้นจากสมาชิกภาพของสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนตำบลเพราะเหตุเป็นผู้มีพฤติกรรมในทางทุจริต นั้น เป็นบทบัญญัติในลักษณะเดียวกันจึงสามารถนำมาใช้เทียบเคียงกันได้ สรุป ในเรื่องของการมีพฤติกรรมในทางทุจริตของผู้บริหารองค์การบริหารส่วนตำบลตามความในมาตรา ๕๘/๑ ประกอบมาตรา ๖๔ แห่งพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. ๒๕๓๗ แก้ไขเพิ่มเติมถึง (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๔๖ นั้น ไม่ได้อยู่ในความหมายของคำว่า กระทำการฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อยหรือสวัสดิภาพของประชาชน ตามความในมาตรา ๙๒ แห่งพระราชบัญญัติสภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ.๒๕๓๗ แก้ไขเพิ่มเติมถึง (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๔๖ เพราะกฎหมายได้บัญญัติไว้แยกออกจากกันโดยชัดเจนแล้ว จึง “ไม่อาจนำมาพิจารณาให้อยู่ในความหมายเดียวกันได้” ดังนั้น เมื่อเกิดกรณีร้องเรียนกล่าวหาขึ้นมาก็เป็นหน้าที่ของผู้ปฏิบัติงานที่จะต้องพิจารณาแยกแยะให้ได้ว่ากรณีตามข้อร้องเรียนกล่าวหานั้นเป็นเรื่องของการมีพฤติกรรมในทางทุจริตหรือเป็นเรื่องของการกระทำการฝ่าฝืนต่อความสงบเรียบร้อยหรือสวัสดิภาพของประชาชน และจะต้องปรับให้เข้ากับบทบัญญัติกฎหมายที่ถูกต้องด้วย. ************************************

วันพุธที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2556

วิธีบรรยายให้นิยายอกมาแล้วอ่านได้ลื่นไหล

วิธีบรรยายให้นิยายอกมาแล้วอ่านได้ลื่นไหล


การเล่าเรื่อง คือ การบอกว่าตอนนั้นๆ เรื่องดำนินอยู่ในเหตุการณ์ไหน ที่ไหน ฉากไหน โดยจะไม่มีการพรรณนาถึงรายละเอียดที่ลึกกว่านี้


การบรรยาย คือ การเพิ่มเติมรายละเอียดลงไปในการเล่าเรื่อง เป็นการพรรณนาถึงสิ่งต่างๆในฉากและเหตุการณ์ในเรื่องตรงนั้น

การเล่าเรื่อง:

เราต้องรู้ก่อนว่าพล็อตเรื่องของเรานั้นเป็นอย่างไร(อย่างน้อยต้องกำหนดแล้ว ว่าเริ่มเรื่องเป็นยังไง ตอนจบเป็นยังไง) เมื่อเรากำหนดพล็อตเรื่องแล้วแบ่งเป็นพล็อตย่อยลงไปเรื่อยๆ จนถึงเหตุการณ์และฉากย่อยต่างๆ เราก็ต้องกำหนดว่าฉากนั้นเป็นเช่นไร เกิดอะไรขึ้น โดยยังไม่มีการพรรณนาถึงรายละเอียด

*ในบอร์ดนี้นั้นจะเน้นไปในเรื่องของการบรรยายมากกว่านะครับ*

การบรรยาย:

เมื่อเรารู้แล้วว่าในฉากที่เรากำลังจะเขียนนั้นเป็นอย่างไร ก็ถึงเวลาที่จะต้องแต่งเติมรายละเอียด พรรณนาถึงสิ่งนั้นเพิ่มขึ้น

เช่น โครงเรื่องมีอยู่ว่า

"เด็กชายไปเดินชายหาด เกิดลมพัด"

การเล่าเรื่อง-"เด็กชายคนหนึ่งเดินเล่นบนชายหาดแห่งหนึ่ง สักครู่ก็เกิดลมพัด"

การบรรยาย-"เด็กชายร่างเล็กคนหนึ่งเดินเล่นตามชายหาดที่หนึ่ง เม็ดทรายสีทองส่องประกายยามกระทบแสง เมื่อเด็กน้อยเดินมาได้ไม่นาน ก็เกิดลมพัดอ่อนๆพากลิ่นเกลือในทะเลเข้าหาฝั่ง"

จะเห็นว่าเมื่อเติมคำบรรยายเพิ่มเข้าไปแล้ว ก็จะทำให้เนื้อเรื่องน่าอ่านยิ่งขึ้นไปอีก
การบรรยายสามารถบรรยายได้หลายลักษณะ ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เรากำลังบรรยายอยู่

1.สถานที่

การบรรยายสถานที่ เราจะต้องนึกก่อนว่าสถานที่นั้นๆมีลักษณะเป็นอย่างไร ถ้าเป็นสถานที่ยืมมาจากของจริงจะทำให้แต่งง่ายขึ้น

การบรรยายลักษณะสถานที่ที่เป็นป่า-"...ปรากฏชายป่าแห่งหนึ่งบนผืนดินอันแห้ง แล้ง ดูเหมือนว่านี่จะเป็นเพียงส่วนเดียวที่อุดมสมบูรณ์ของบริเวณนี้ เสียงธรรมชาติต่างขับร้องผสานกันราวกับเสียงเพลง มีทั้งเสียงนกร้อง เสียงน้ำตกใสที่กระทบกับแหล่งน้ำ..."

แค่ป่าๆเดียวก็สามารถทำให้เนื้อเรื่องน่าสนยิ่งขึ้น เพียงเติมคำบรรยายลงไป ข้อควรระมัดระวังคือ ถ้าจะบรรยายลักษณะมีการเปรียบเทียบอย่าให้มันมาก เช่น

การบรรยายอาคารหินอ่อน-"...อาคารทรงลูกบาสก์ขนาดใหญ่หลังหนึ่งตั้งเด่นอยู่ ตรงหน้า สีงาช้างนวลของตัวอาคารบ่งบอกว่าทำมาจากหินอ่อนที่ได้รับการขัดให้ผิวเรียบ อย่างดี หากมองเผินๆแล้วราวกับพระราชวังหรือคฤหาสน์ซํกหลังเป็นแน่ ซุ้มประตูหินอ่อนขนาดใหญ่หน้าตัวอาคารถูกตกแต่งอย่างดี เหมือนกับเตรียมการต้อนรับใครซักคน..."(การบรรยายสถานที่อันนี้ควรเพิ่มเติม อีกนิด)

ถ้าเปรียบเทียบมากจนเกินไปจะทำให้ผู้อ่านรู้สึกเบื่อซักก่อน ดังนั้นใส่รายละเอียดอย่าให้ยาวมากเป็นจะดี ให้ผู้อ่านอ่านแล้วรู้ลักษณะคร่าวๆของตัวอาคารนั้นเป็นพอ

2.สิ่งของ

การบรรยายสิ่งของนั้นง่ายกว่าสถานที่มาก ความยาก-ง่ายขึ้นอยู่กับลักษณะของๆนั้น

เช่น

-เก้าอี้อย่างหรู “…เก้าอี้ตัวหนึ่งวางอยู่เบื้องหน้าเขา รูปร่างเหมือนเก้าอี้ทั่วไปทุกประการ แต่มันมีอะไรมากกว่านั้น ฝุ่นและหยากไย้เกาะเต็มตัวเก้าอี้ หากแต่ตัวเก้าอี้นั้นยังคงสภาพไว้อย่างดีราวกับเพิ่งซื้อมันมา ต่างจากสภาพโดยรอบ บ่งบอกเจ้าของเก้าอี้ตัวนี้ต้องเป็นคนที่มีฐานะพอดู...

ประมาณนี้ล่ะครับ ถ้าใครอยากใส่อะไรที่หรูกว่านี้ก็ใส่ไป แต่ไม่ควรที่จะให้เยอะเกินไป ควรทำแบบรวบรัดจะดีที่สุด

3.บุคคล

การบรรยายลักษณะรูปร่างของคนนั้นง่ายที่สุดแล้ว เพราะไม่มีอะไรมาก

เช่น

-ผู้หญิงผมเหลือง ตาสีเขียว หน้าตาสะสวย “...ผู้หญิงคนนั้นดูเป็นจุดเด่นอย่างประหลาดสำหรับที่สวยงามเช่นนี้ เรือนผมงามสลวยยาวสีอำพันของเจ้าหล่อนลู่กับแผ่นหลังเรียว นัยน์ตาสีมรกตแฝงด้วยแววมุ่งมั่นและอำนาจ ใบหน้ารูปไข่รับกับริมฝีปากบางสีแดงระเรื่อ เจ้าหล่อนถือเป็นคนสวยคนหนึ่งเลยทีเดียว หากแต่ชายใดก็คงไม่กล้าเข้าไปยุ่ง เพราะรังสีกระหายอำนาจอย่างเหลือล้นที่แผ่ออกมา...

การบรรยายเมื่อตัวละครพูด:

ปัญหาเรื่องนี้มีไม่มากนักแต่เราก็ควรรู้ไว้ หลังจากเขียนบทพูดเสร็จ เราอาจตามด้วยประโยค “…(ชื่อตัวละคร)เอ่ย พูด กระซิบ ถาม ตะโกน ตอบกลับ ฯลฯ หรือ ท่าทางต่างๆ และบางทีถ้าประโยครัวจัดล่ะก็ อาจเอาแค่บทพูดเปล่าๆไป เพราะผู้อ่านก็พอจะนึกออกว่าใครพูด(ถ้า 2 คนจะง่าย) แต่อย่าให้ถี่มากนัก

เช่น


- “นี่ คุณเอดูอะไรนั่นซิครับหนุ่มร่างสูงนาม ซี เอ่ยเรียกเพื่อนข้างตัว ผู้กำลังสาละวนกับงานของจนอยู่

ไหน มีอะไรเอเงยหน้ามาจากกองเอกสารงาน แล้วมองตามที่นิ้วเรียวของผู้เป็นเพื่อนชี้ไป

มีอะไรกันหรอบี หญิงสาวผู้มีกิจวัตรประจำวันคือแส่ไปทุกเรื่อง เดินมาทางคนทั้งสอง

เธอไม่เกี่ยวเอเอ่ยขึ้น หากแต่ยังไม่ละสายตาไปจากภาพตรงหน้า

ใช่ เห็นด้วย

จบแล้วล่ะค่ะ เพราะนึกอะไรไม่ออกแล้ว ใครมีข้อคิดเห็นอะไรก็ช่วยกันเม้นเพิ่มนะ ;’)

วันศุกร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ฉากเปิดตัว จุดเริ่มต้น เริ่มเขียนเรื่อง

ฉากเปิดตัว จุดเริ่มต้น เริ่มเขียนเรื่อง



หัวข้อเหล่านี้เป็นหัวข้อที่ทำให้ทุกคนเริ่มเขียนนิยายไม่ได้สักที

ด้วยเหตุเพราะว่า.. จะเริ่มแบบไหนถึงจะดี หรือจะเปิดตัวแบบไหนถึงจะสมอารมณ์คนแต่ง วันนี้พี่สาวมีเกร็ดเล็กๆ(อีกแล้ว)มาฝาก

เรามาดูกันว่ามีกี่วิธีที่จะเปิดเรื่องหรือเริ่มฉากใหม่ๆ กันอย่างไรบ้าง

1.เริ่มจากการบรรยายตัวละคร 
เช่นว่า นาย ยืนอยู่ที่ไหนทำอะไรอยู่ มันเป็นคนนิสัยอย่างไร และตอนนี้มันกำลังเจออะไร

ตัวอย่าง

เอวิทย์เป็นเด็กที่ขี้สงสัย เขามักหมกมุ่นกับเรื่องลี้ลับในห้องสมุดเป็นเวลานาน โดยสิ่งที่เด็กชายกำลังค้นคว้าและหาคำตอบอยู่นั้น คือเรื่อง ควายบิน

2.เริ่มจากดินฟ้าอากาศ 
ตั้งแต่ดวงดาว ท้องฟ้า สภาวะของสิ่งแวดล้อม พายุเข้า สึนามิมา แผ่นดินไหว ตึกถล่มอะไรก็ว่าไป

ตัวอย่าง

ท้องฟ้าคืนนี้ขมุกขมัวไม่ค่อยปลอดโปร่งเท่าไหร่ เมฆบางส่วนลอยเอื่อยปกปิดแสงจันทร์ แต่กระนั้นเอวิทย์ก็สามารถมองเห็นบางสิ่งบางอย่างที่กำลังลอยตัวอยู่บนท้องฟ้าได้อย่างถนัด และมันก็ไม่ใช่เครื่องบิน หรือก้อนเมฆ แต่มันเป็น ควาย ตัวหนึ่ง

3.เกริ่นนำสถานที่
เช่นว่า สถานที่นี้เป็นมาอย่างไร มันมีสภาพแบบไหน และตัวเอกมาทำอะไร

 
 ตัวอย่าง

 
ค่ายบางระจัน เป็นสถานที่หนึ่งซึ่งปรากฏอยู่บนหน้าประวัติศาสตร์มาช้านาน แม้ในตอนนี้สภาพของมันจะไม่ต่างอะไรกับเมืองร้าง แต่เอวิทย์ก็ชมชอบ และใฝ่ปองอยากมาเยือนที่แห่งนี้ด้วยตัวเองเสมอ แม้มันจะเหลือเพียงก้อนอิฐ ก้อนหินให้ชายหนุ่มได้รำลึกถึงคืนวันเก่าๆ เท่านั้น

4.เริ่มต้นด้วยคำอุทาน
เช่นว่า เปิดเรื่องมาแล้วอุทาน ตกใจ หรือพบเห็นอะไรบางอย่างจนเกิดเรื่องราว

ตัวอย่าง

เห้ย!” เอวิทย์อุทานออกมาเมื่อเขาเห็นตัวอะไรบางอย่างกำลังบินได้ และลักษณะของมันคล้ายกับสัตว์ที่เขาเคยเลี้ยง
ควายบิน

ซึ่งใครเลือกที่จะเปิดตัวนิยายแบบนี้ก็เป็นวิธีที่ง่ายดีเหมือนกันนะ แต่ความสนิทสนมของตัวละครที่จู่ๆ โผล่มาเลยจะทำให้คนอ่านสงสัย และติดตามว่า ไอ้ เอวิทย์นี่มันเป็นใคร แล้วตัวอะไรฟะนั่น” จึงทำให้ต้องวกเข้ามาบรรยายถึงตัวเอกหลังจากที่เริ่มเรื่องไปได้สักพักแล้ว ว่าหมอนี่มันเป็นใครกันแน่(จริงๆ พี่สาวนึกชื่อตัวละครตัวอย่างไม่ออก เลยเอานาย A จากบทก่อนๆ มาเติมวิทย์ให้มันเป็นตัวละครไทยๆ ซึ่งเป็นวิธีที่สิ้นคิดมาก ห้าๆ)

5.เปิดตัวฉากหรือเรื่องด้วยคำเอฟเฟค
ดูตัวอย่างเอาเลย

ตัวอย่าง

ตู้ม!!
เสียงอะไรบางอย่างกระแทกหลังคารถเก๋งคันหรูของเอวิทย์อย่างแรง ขณะที่สายตาของชายหนุ่มจดจ้องไปที่ถนนข้างหน้าด้วยอาการตื่นตระหนก

พลั่ก!!
เอวิทย์ตาเหลือกขึ้นทันที เมื่อเจ้าของเสียงปริศนาที่ชนเข้ากับหลังคารถของเขาเมื่อครู่ลอยหวือไปอยู่เบื้องหน้ากระโปรงรถ
ชายหนุ่มรู้ดีว่ามันเป็นตัวอะไร..

ควายยยยยยย



6.เริ่มต้นด้วยบทสนทนา
ก็เริ่มประโยคด้วยการให้ตัวละครสองตัวหรือมากกว่านั้นคุยกันเพื่อสร้างเรื่องขึ้น

ตัวอย่าง

แกว่าโลกนี้จะมีอะไรลึกลับหรือเปล่า? บีศักดิ์” ชายหนุ่มร่างผอมเกร็งเอ่ยถามคู่หูขณะดื่มสุราที่ชานกระท่อมชายป่า
ข้าว่ามีนะ เพราะข้าเคยเห็น” บีศักดิ์หลิ่วตาลงเล็กน้อย เห็นทุกๆ วันเลยเชียวล่ะ

พูดจบบีศักดิ์ก็ค่อยๆ ก้มตัวลง เขาทำท่าทางเหมือนคลาน ก่อนที่อะไรบางอย่างจะงอกออกมาจากศีรษะ พร้อมเสียงโอดครวญอย่างเจ็บปวด
เอวิทย์ แกทำให้ฉันเป็นแบบนี้เองนะ” บีศักดิ์สบถ ขณะที่เสื้อผ้าเริ่มฉีกขาด ผิวเริ่มเปลี่ยนสี
บีศักดิ์ แกเองใช่ไหมที่เป็นควายบิน
"ใช่เพราะแกนั่นแหละที่สวมเขาให้ข้า" ควายยักษ์ตะคอก "บังอาจเป็นชู้กับเมียตู ทุกวัน ตายซะ"

........

 
เข้าเรื่อง จากที่พี่สาวได้ยกตัวอย่างกันมาให้ชมนั้น มันเป็นเพียงการเปิดตัวแต่ละแบบที่สามารถจับประเด็นมาพูดบรรยายได้(ซึ่งทั้งหมดก็ไม่น่าจะพ้นวิธีพวกนี้)

เพราะนี่เป็นการเปิดตัวแบบบุรุษที่สาม ซึ่งการเปิดตัวแบบบุรุษที่หนึ่ง และสองก็ไม่น่าจะต่างกันเท่าไหร่

ประเด็นแรกเลยเท่าที่เคยเจอปัญหามาคือคิดฉากเริ่มต้นไม่ได้

วิธีแก้นั้นไซร้ ให้นำโครงเรื่องมากางดู แล้วหาช่องเปิดตัวใหม่จากโครงเรื่องที่วางไว้ ว่าเปิดแบบไหนถึงจะสะกดคนอ่านได้ตั้งแต่แรก แล้วนำมาเลือกวิธีเปิดตัวจากข้อ 1-6 ซึ่งพี่สาวได้ยกตัวอย่างไว้ให้ดูแล้ว

บอกตามตรงว่านี่เป็นเพียงพื้นฐาน ซึ่งสามารถนำไปใช้ได้จนถึงระดับอาชีพ

ส่วนใครที่คิดวิธีเปิดเรื่องได้นอกเหนือจากนี้ ก็นำมาแชร์กันบ้างนะเจ้าคะ เพราะการเปิดเรื่อง เริ่มฉาก หรือบทนำนั้นไม่มีคำว่าตายตัว และมันอาจจะไม่ได้มีเพียง 6 วิธีนี้เท่านั้น

        (มีคำแนะนำมาแชร์ มาอ่านกันที่ด้านล่างในส่วนคอมเม้นต์นะเจ้าคะ)

สุดท้ายนี้อยากจะบอกว่า หากสังเกตจากตัวอย่างที่พี่สาวยกมา มันเป็นเรื่องเดียวกันทั้งหมด ซึ่งหากใช้วิธีเปิดตัวแต่ละแบบ อารมณ์ของเรื่องก็จะแตกต่างกันออกไป

ดังนั้นจึงควรเลือกวิธีเปิดตัวให้เข้ากับบรรยากาศของเรื่องด้วย เพื่อให้ธีมของเรื่องไม่หลุดจากกรอบ จนทำให้คนอ่านต่ออารมณ์ไม่ติดนะเจ้าค่ะ

บทบรรยายหลังประโยคสนทนา

บทบรรยายหลังประโยคสนทนา



วันนี้เราจะมาพูดถึงบทบรรยายที่พ่วงท้ายประโยคสนทนากันว่าจำเป็นมากหรือน้อยแค่ไหน

เพราะหลายๆ คนคิดว่าต้องมี ต้องใส่ ซึ่งจริงๆ แล้วมันขึ้นอยู่กับบริบท หรือสิ่งที่นักเขียนจะกล่าวเท่านั้น

ในที่นี้จะสอนวิธีใส่บทบรรยาย และบทสนทนาเป็นแบบอย่าง และอยากให้น้องๆ ทุกคนพึงระลึกเสมอว่า ขั้นตอนของมันอยู่ที่ความเหมาะสม ไม่ใช่ว่าจะต้องใส่เท่านั้น หรือไม่ก็ เว้นว่างเอาไว้ เพราะตามหลักแล้ว มันเน้นตามอารมณ์เรื่อง

ขอยกตัวอย่าง ประโยคสนทนาคำเดียวกันเลยนะ แต่จากการใส่บทบรรยายข้างหลังจะทำให้อารมณ์เรื่องเปลี่ยนไปทันที

เช่นว่า

เขียนฉากซึ้ง

นที” หญิงสาวเอื้อนเอ่ยออกมาเมื่อเห็นชายหนุ่มคนรักของตัวเองปรากฏกายอยู่เบื้องหน้า เธอยิ้มทั้งน้ำตา เพราะเคยคิดว่าชายหนุ่มได้ตายจากไปแล้ว
ผมรอคุณอยู่เสมอ” ชายหนุ่มตะโกนข้ามฟากถนน ใบหน้าแดงก่ำ เขากำลังร้องไห้



เขียนฉากระทึก

นที” เมตาร้องขึ้น พร้อมมองออกไปนอกหน้าต่าง เธอเห็นฆาตกรใจโฉดถือมีดปลายแหลม หญิงสาวรู้จักเป็นอย่างดี
ผมรอคุณอยู่เสมอ” ชายหนุ่มแสยะยิ้ม ก่อนจะเปิดรั้วประตูบ้านเข้ามา



เขียนฉากหลอน



เมตาเห็นเงาร่างของใครคนหนึ่งที่เธอมั่นใจว่าตายไปแล้ว ปรากฏขึ้นที่ปลายเตียง และชายคนนั้นเป็นคนที่เธอรู้จักดี
นที
ผมรอคุณอยู่เสมอ” ใบหน้าแหลกเละยิ้มกว้าง



เขียนฉากคุยกันธรรมดา



นที
ผมรอคุณอยู่เสมอ
รอตั้งแต่เมื่อไหร่
เมื่อวาน

เมตามองค้อน เมื่ออีกฝ่ายตอบแบบเล่นลิ้น ก็ใครกันเล่าจะยืนรอเธอที่หน้าบ้านตั้งแต่เมื่อวานโดยไม่หลับไม่นอน





เขียนฉากเว้นอารมณ์



นที” ชายหนุ่มกลืนน้ำลาย เมื่อเห็นโจทย์เก่าเดินออกจากบ้าน ในมือของเขากำไม้หน้าสามไว้แน่น ก่อนที่เขาจะเอ่ยต่อว่า ผมรอคุณอยู่เสมอ





เขียนประโยคสนทนาทิ้งท้ายชวนสงสัย

นที” เมตาร้องขึ้นด้วยน้ำเสียงตกใจ เพราะคนที่อยู่เบื้องหน้าของเธอเป็นชายหนุ่มร่างสูงที่ดูคุ้นตาดี และเธอไม่เคยคิดมาก่อนว่าคนแบบเขาจะมายืนจังก้าที่หน้าป้ายรถเมล์ในเวลาแบบนี้ ซึ่งทำให้เธอสงสัยเข้าไปใหญ่ ว่าเจ้าของธุรกิจโรงงานพันสาขามาทำอะไรที่ป้ายรถเมล์!!
ผมรอคุณอยู่เสมอ



จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่า บทบรรยายมีผลอย่างไรกับบทสนทนา เพราะบทบรรยายนั้นมีไว้คอยกำกับเรื่องราว และอิริยาบถของตัวละคร ถ้าไม่อธิบาย บางทีคนอ่านก็ไม่รู้ว่าตัวละครกำลังทำอะไรอยู่ ยิ้ม หรือเศร้า น่ากลัว หรือขำขัน

แต่ก็ไม่จำเป็นต้องใส่กำกับทุกครั้ง เพราะในช่วงที่ต้องเน้นอารมณ์เรื่องแบบอื่น ก็ควรดูว่า น้องๆ จะเน้นสิ่งใด แล้วค่อยเติมเต็มเข้าไปให้ครบ

เช่นว่า

นี่นายมาทำอะไรอยู่ตรงนี้
ผมมายืนรอรถไฟครับ
รอทำไม
รอขึ้นรถไฟน่ะสิ ถามได้

แต่ถ้าเราไปเติมบทบรรยายต่อท้าย อารมณ์เรื่องก็จะเปลี่ยนทันที

นี่เธอมาทำอะไรอยู่ตรงนี้” หญิงสาวทำหน้าฉงนสงสัย เพราะเธอเจอคู่กัดในบริษัทกำลังยืนเหม่อลอยอยู่เบื้องหน้า
ผมมายืนรอรถไฟครับ” เขาตอบห้วนๆ พร้อมสะบัดหน้าไปทางอื่น
รอทำไม” ริมฝีปากสีแดงร้องบอกเหมือนอยากหาเรื่อง
รอขึ้นรถไฟน่ะสิครับ” ชายหนุ่มตอบกวนๆ โต้กลับอย่างทันควัน ก่อนจะแลบลิ้นปลิ้นตาให้อีกฝ่ายเป็นเชิงยั่วยุ



สังเกตได้ว่า แบบแรกมันทำให้คนอ่านคิดไปอีกแบบ ในกรณีที่ไม่ใช่จุดสำคัญอะไรมากแค่ตัวละครถามกัน  ก็น่าจะทำแบบนั้นได้ แต่หากว่ามันสำคัญมาก จะใส่บทบรรยายเข้าไปเพื่อกำกับท่าทาง ก็จะได้อารมณ์

แต่บางทีบทบรรยายก็ไม่จำเป็นต้องกำกับ เช่นตอนที่ระทึกมากๆ หรือตัวละครกำลังคุยอะไรบางอย่างเป็นใจความสำคัญ

       
 ตัวอย่าง


นทีมีสีหน้าเครียด เมื่อต้องให้ปากคำกับผู้พิพากษา ซึ่งแต่ละคำถามที่นทีโดนทนายฝ่ายโจทย์ซักไซร้อยู่นั้น ก็ทำให้ชายหนุ่มอารมณ์ขึ้นทุกวินาที

คุณเป็นอะไรกับธาดา
ผมเป็นผู้ปกครองของมัน
ได้ข่าวว่าคุณพาธาดาเข้าห้องนอนทุกคืน จริงหรือไม่
จริง แล้วจะทำไม

เสียงฮือฮาดังขึ้น เมื่อนทีตอบออกมา

คุณร่วมหลับนอนกับธาดา
เออ

เสียงโห่ร้องจากคณะลูกขุนดังขึ้นอีก ในขณะที่นทีเกาศีรษะ

คุณเป็นชู้กับธาดา
ไม่ใช่
ก็คุณสารภาพเองว่าคุณหลับนอนกับธาดา เพราะภรรยาของคุณยื่นฟ้องหย่าเรื่องนี้
ยัยนั่นมันต้องการไปมีผัวใหม่ตังหาก เลยหาเรื่องผม
แต่คุณก็ยอมรับว่าคุณเป็นชู้กับธาดา
เฮ้อ
จริงไหม?
ผมก็เอือมศาล และทนายจริงๆ นี่ถ้าคุณรู้ว่า ธาดามันเป็นหมาชิวาว่าล่ะก็นะ คุณยังจะถามผมอีกไหม
เง้อ



จากตัวอย่างจะทำให้เรื่องดำเนินได้เหมือนกัน โดยไม่ต้องมีบทบรรยายกำกับ

ซึ่งพี่สาวจะแนะนำว่า การใส่บทบรรยายหลังบทสนทนานั้นไม่มีกฎตายตัว ขึ้นอยู่กับจังหวะ และอารมณ์ของเรื่องที่ผู้เขียนจะกำหนดเสียมากกว่า